บอย พิษณุ บทเรียนชีวิต 20 ปีในวงการ เคยคิดจบชีวิต แต่ยังยืนหยัดเป็นพ่อที่ดี

บอย พิษณุ บทเรียนชีวิต 20 ปีในวงการ เคยคิดจบชีวิต แต่ยังยืนหยัดเป็นพ่อที่ดี
จากเวที AF เปิดหมดเปลือกชีวิตในรายการ WOODY FM เล่าถึงการทำงานในวงการบันเทิงตลอด 20 ปี ที่ไม่เคยง่าย จากวันที่เริ่มต้นในยุครายการเรียลลิตี้รุ่งเรือง มาจนถึงวันที่แพลตฟอร์มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องปรับตัวเข้ากับ YouTube, TikTok และโซเชียลทุกรูปแบบเพื่อให้ยังคงยืนอยู่ในสายอาชีพ
เขายอมรับว่า ช่วงโควิดคือช่วงวิกฤตหนักสุด รายได้หายเกลี้ยง ต้องใช้เงินเก็บจนเกือบหมด จนเคยคิดจบชีวิต แต่เมื่อมี “ลูก” เขาจึงเปลี่ยนใจ บอกตัวเองว่าห้ามเจ็บ ห้ามป่วย และห้ามตาย เพราะยังมีหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือ “การเป็นพ่อ”
คุณอยู่ในวงการบันเทิงมานานเท่าไรแล้ว ?
บอย พิษณุ : เยอะมากปีนี้ผมเข้าวงการมา 20 ปีแล้ว ตั้งแต่เป็น AF เร็วมาก
การยอมรับความจริงการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมชาติ ในวันที่คุณมองว่าไม่รู้จะไปต่อยังไง ?
บอย พิษณุ : เราอยู่ในวงการบันเทิงมา 20 ปี ได้เห็นตั้งแต่ยุคแรกๆ ในการที่ผู้จัดละครผลิตละครกันปีหนึ่งไม่รู้กี่ 20-30 เรื่อง แล้วก็อยู่ในยุคหนึ่งที่รายการ Reality Show มันมาดังในยุคนั้น ก็จะผ่านมาเรื่อยๆ แล้วทุกอย่างเหมือนแพลตฟอร์มเริ่มเปลี่ยนไป ละครสปอนเซอร์เริ่มน้อยลง เริ่มไม่ผลิต ไม่รู้ว่าผลิตไปแล้วได้อะไร แพลตฟอร์มอื่นขึ้นมา มี Netflix มีแอปพลิเคชันต่างๆ แล้วเราจะทำยังไงให้ไปอยู่ตรงนั้นได้ เพราะเราไม่สามารถที่จะเลือกเขาได้ ผมก็ผ่านยุคพวกนั้นมา แล้วก็เคยมีความรู้สึกว่าเราต้องทำ ต้องทำจริงๆ coinmasterx
เพราะว่า ถ้าอยู่กับที่ก็จะถูกกลืนไปกับแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่มันผุดขึ้นมาทุกวันเลย ก็เริ่มมาทำ YouTube เพราะว่ารายได้ไม่มีจากการที่ติดโควิดพอดี ช่วงนั้นดาราคือรายได้เป็นศูนย์ รู้สึกว่ามันอยู่ไม่ได้นะเพราะว่าเรายังมีภาระมีครอบครัวที่ต้องดูแล แล้วพอทำมาสักพัก Youtube ก็เริ่มดาวน์อีกแล้ว ผมต้องไปทางไหน Tiktok ก็ไม่ได้เริ่มเล่นตั้งแต่แรก เพิ่งมาเล่นช่วงปลาย คิดว่าตอนนั้นทำไมชีวิตเราต้องมีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย Facebook ก็ต้องมี IG ก็ต้องทำ YouTube ก็ต้องทำ TikTok มาอีกเหรอ ตามไม่ทัน จนสุดท้ายเราก็ต้องมาจบที่ลองเล่น TikTok ดูว่ามันจะทำยังไง เพราะว่า TikTok มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่รู้จักเรามากที่สุด เราก็ต้องทำไม่งั้นก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ มันคือชีวิตของผม ไม่อยากให้ชีวิตที่เกิดขึ้นมาแล้วมันต้องหายไป
Mindset ที่เดินหน้าคือยังไง ?
บอย พิษณุ : ตอนนั้นยังรู้สึกว่าผมไม่แย่เหมือนครั้งล่าสุดนี้นะ ตอนนั้นแค่มีความรู้สึกว่าทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ทุกคนเจอคลื่นลูกยักษ์ ซึ่งเป็นคลื่นเกี่ยวกับโรคอันตราย ทุกคนโดนเหมือนกันหมด แต่เผอิญเราแค่มีความรู้สึกว่าช่วงนั้นโชคดีของชีวิตที่เราลองที่จะเปลี่ยนลงมาทำ YouTube ลองที่จะเปลี่ยนหาทำอะไรใหม่ๆ เพราะว่าถ้าเราอยู่เฉยๆ มันไม่ได้จริงๆ มันอยู่ที่จังหวะอย่างเช่นแบบทีมผมที่เป็นพาร์ทเนอร์ทำ YouTube ด้วย เขาเข้ามาในจังหวะที่ดีพอดี เพราะอยากทำมานานแล้ว แต่การลงตัวที่จะทำมันอยู่ตรงไหน เพราะผมไม่ได้เป็นคนที่พูดเก่งขนาดนั้น สิ่งที่ทำให้ตัดสิ้นใจง่ายคือเรามีทีมงานที่ดี ตอนนั้นก็มั่นใจมากขึ้น ผมมีตัวตนมากขึ้น เพราะว่าจริงๆ แล้วมันเริ่มอยู่เข้ายุคในแพลตฟอร์มแล้ว ทีวีก็เริ่มอาจจะเริ่มดาวน์ลงมา คนก็ไม่ค่อยดูทีวีแล้ว คนเปลี่ยนจากดูทีวีเป็นเปิด YouTube แทนเวลาไหนก็ได้เข้ามาในจังหวะที่ดี แล้วเราก็เลยโดดลงมาทำ