พิเชษฐ์ พ้นเก้าอี้ รองประธานสภา ปมงบฯปี 69

พิเชษฐ์ พ้นเก้าอี้ รองประธานสภา ปมงบฯปี 69
วันนี้ (1 ส.ค.68) เวลา 15.40 น. ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย หลังจากนัดแถลงด้วยวาจาและประชุมปรึกษาหารือกันในช่วงเช้า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมากให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย เขตการเลือกตั้งที่ 7 พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร พ้นสมาชิกภาพ สส.ทันที พร้อมมีคำสั่งตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี และให้มีการจัดการเลือกตั้งซ่อม สส.เชียงราย เขตการเลือกตั้งที่ 7 ใหม่ ภายใน 45 วัน จากคำร้องที่นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และ สส.รวม 121 คนเข้าชื่อกัน เพื่อยื่นคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรค 3 กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ในฐานะผู้ถูกร้อง เป็นผู้ให้ความเห็นชอบ การจัดทำโครงการ และให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ
โดยที่ผู้ถูกร้อง มีส่วนโดยทางตรง และทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 และกรณีที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 เป็นการเสนอของบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรง และทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง หรือเป็นการแปลงงบประมาณ ก่อนที่จะมีการขอถอนโครงการภายหลัง coinmasterx
โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการฯ งบประมาณ 2569 แม้กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ขอถอนโครงการ และยกเลิกคำของบประมาณออกจากโครงการงบประมาณ 2569 ไปแล้ว แต่ก็ถือเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วของผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จำเป็นจะต้องวินิจฉัย อย่างไรก็ตาม แม้ตามบันทึกข้อความเพื่อจัดโครงการ และคำขอแปรญัตตินั้น ปรากฏลายมือชื่อของผู้ถูกร้อง และข้อความที่อยู่เหนือรายมือชื่อผู้ถูกร้อง สอดคล้องกับเอกสารอีกฉบับหนึ่ง เกี่ยวกับการขอตั้งงบประมาณ 2569 ของโครงการทั้ง 3 ซึ่งเอกสารทั้ง 2 มีลายมือของข้อความที่แตกต่างกัน และที่ปรึกษารองประธานสภาฯ ได้ยอมรับว่า ตนเองเป็นผู้เขียนข้อความ จึงรับฟังได้ว่า แม้ผู้ถูกร้อง ลงลายมือชื่อเพียงรายการเดียว แต่การลงรายมือชื่อ ย่อมต้องพิจารณาข้อความก่อน และผู้ถูกร้อง ยังเป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ปี 2566 จึงทราบดีว่า การลงลายมือชื่อ ถือเป็นการเห็นด้วยกับเอกสารดังกล่าว แม้จะไม่ได้ระบุว่า เห็นด้วยหรือไม่ และเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ก็ยอมรับว่า เป็นไปตามการหารือ
ส่วนกรณีที่ผู้ร้องกล่าวหาผู้ถูกร้องนำโครงการไปจัดพื้นที่ที่จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการสร้างคะแนนนิยมให้กับตนเองนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ในการประชุมเพื่อพิจารณา ผู้ถูกร้องได้เข้าร่วมประชุมด้วย และปรากฏถ้อยคำของผู้ถูกร้องที่เข้าข่ายว่า ผู้ถูกร้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้ง 3 และการจัดกิจกรรมในปีงบประมาณ 2569 สอดคล้องกับกิจกรรมในปีงบประมาณ 2568 นั้น ก็ได้สะท้อนรูปแบบการดำเนินกิจกรรมแบบต่อเนื่อง และสะท้อนว่า จะเป็นการจัดในพื้นเขตการเลือกตั้งของตนเอง รวมถึงสะท้อนว่า ผู้ถูกร้องอนุมัติสั่งการ หรือแปรญัตติโครงการทั้ง 3 เพื่อให้ สส.หรือผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินการ เพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ โดยมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมในเขตเลือกตั้งที่ 7 ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งผู้ถูกร้อง จึงมีพฤติการที่ผู้ถูกร้อง มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้ง 3